หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้ ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การที่จะชดใช้คืน ท่านให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ หรือถ้าในสัญญามีกำหนดว่าให้ใช้เงินตอบแทน ก็ให้ใช้ตามนั้น การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่
มีปัญหาเกี่ยวกับคดีติดต่อน้าสิด ทนายพงศ์รัตน์ รัตนพงศ์ น.บ.ท. 64
โทร. (091 8713937) หรือ อีเมล์ pongrut.ku40@gmail.com นะครับ
น้าสิด ทนายพงศ์รัตน์ รัตนพงศ์ เห็นว่า ป.พ.พ.391 ผลของการเลิกสัญญา เกี่ยวข้องกับ ป.พ.พ. 392 และ ป.พ.พ. 369 ซึ่งทนายความรุ่นใหม่ควรศึกษาให้เข้าใจอย่างชัดแจ้ง
มาตรา 392 การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น ให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 369
มาตรา 369 ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด
ทนายศักดิ์ชาย ทุ่งโชคชัย น.บ.ท.59 (097-259-0623) สืบค้นแล้วมีหลักกฎหมาย ดังนี้
1. เมื่อมีการบอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคแรกสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ดังนั้นคู่สัญญาจะฟ้องบังคับให้มีการปฏิบัติตามสัญญานั้นอีกไม่ได้ ดูฎีกาที่ 5363/2545 , 2431/2552
ฎีกาที่ 5363/2545 เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคแรก โจทก์จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าขาดราคารถยนต์เท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังขาดได้เพราะจะมีผลเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่เลิกกันไปแล้ว หากโจทก์ยังได้รับความเสียหาย ในส่วนราคารถยนต์ที่ขาด โจทก์สามารถเรียกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย แต่ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกได้นี้คือ ค่าขาดราคาไปจากราคารถยนต์ที่แท้จริง ไม่ใช่ค่าขาดราคาไปจากราคาค่าเช่าซื้อ
ฎีกาที่ 2431/2552 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยที่ 1 โดยชอบ และยึดรถยนต์ที่ให้เช่าคืนจากจำเลยที่ 1 สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ย่อมสิ้นสุดลง คู่สัญญาเช่าแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โจทก์จะอาศัยสัญญาเช่ามาฟ้องเรียกค่าเช่าที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระอีกมิได้ จะเรียกได้ก็แต่เพียงค่าที่จำเลยที่ 1 ได้ใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์อยู่ตามมาตรา 391 วรรคสามเท่านั้น
ฎีกาที่ 9514/2544 สัญญาจะซื้อจะขายระบุว่าหากผู้จะซื้อผิดนัดยอมให้ผู้จะขายริบเงินที่ชำระไว้แล้วทั้งหมดกับให้ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว ดังนั้น เมื่อผู้จะซื้อไม่ชำระหนี้ สัญญาจึงเลิกกัน เงินที่ผู้จะซื้อชำระหนี้ให้ผู้จะขายไปแล้วจะต้องคืนเพื่อให้คู่สัญญากลับสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 แม้จะมีข้อตกลงให้ริบโดยไม่ต้องคืนเพื่อกลับสู่ฐานะเดิม ข้อตกลงให้ริบดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตามมาตรา 379 และเบี้ยปรับนี้สูงเกินส่วน ศาลก็มีอำนาจที่จะลดลง ให้เหลือเป็นจำนวนเงินพอสมควรได้
2. การกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ถ้าต้องใช้คืนเงินให้แก่กัน ให้บวกดอกเบี้ยเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลาที่ได้รับไว้ ทั้งนี้ตามมาตรา 391 วรรคสอง สำหรับอัตราดอกเบี้ย หากไม่มีกำหนดไว้ในสัญญาก็ต้องคิดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 7 (ฎ.1378/2546) การคิดดอกเบี้ยในกรณีนี้มิใช่การคิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด และเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามมาตรา 391 วรรคสองได้ แม้สัญญาไม่ได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยในกรณีผิดสัญญาไว้ก็ตาม ดูฎีกาที่ 5196/2548
ฎีกาที่ 5196/2548 เมื่อเลิกสัญญาต่อกันแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่ได้รับให้แก่โจทก์และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่รับไว้ด้วย ซึ่งการคิดดอกเบี้ยในกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่การคิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด แต่เป็นเรื่องที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ แม้ตามสัญญาจะไม่ได้คิดดอกเบี้ยที่โจทก์จะคิดจากจำเลยในกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไว้ก็ตาม แต่โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามมาตรา 391 วรรคสอง
ทนายอัม ปิยะอัมพร สุกแก้ว (061-561-9514) สืบค้นแล้วมีหลักกฎหมาย ดังนี้
การใช้ค่าการงาน (มาตรา 391 วรรคสาม)
1. เมื่อได้บอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้วมีผลตามมาตรา 391 คือ คู่กรณีแต่ละฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิม การงานที่ได้กระทำไปแล้วกลับคืนฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ ตามมาตรา 391 วรรคสาม ตามวรรคนี้ส่วนมากเป็นเรื่องสัญญาจ้างทำของที่ผู้รับจ้างได้ทำงานไปบ้างแล้ว ผู้ว่าจ้างต้องมีการชดใช้ค่าก่อสร้าง ที่ผู้รับจ้างทำไปแล้ว จะให้ผู้รับจ้างรื้องานที่ทำไปแล้วไม่ได้ ดูฎีกาที่ 175/2521
ฎีกาที่ 175/2521 โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยปลูกสร้างโรงภาพยนตร์และตึกแถวลงในที่ดินของโจทก์ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเองโดยโจทก์ต้องยอมให้จำเลยเช่ามีกำหนด 20 ปี จำเลยปลูกสร้างโรงภาพยนตร์และตึกแถวผิดแบบแปลน เป็นการผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ดังนี้ ต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 391 มาปรับแก่คดี เมื่อจำเลยได้ปลูกสร้างโรงภาพยนตร์และตึกแถวลงในที่ดินของโจทก์เสร็จแล้ว การที่จะให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะดังเป็นอยู่เดิมได้ ก็ด้วยการที่จำเลยต้องคืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ และโจทก์ต้องชดใช้ค่าก่อสร้าง อันเป็นผลงานที่จำเลยได้สร้างลงไปแล้วเท่านั้น จะให้คืนสู่ฐานะเดิม โดยให้จำเลยต้องรื้อโรงภาพยนตร์และตึกแถวออกไปโดยโจทก์มิได้ชดใช้ค่าก่อสร้าง อันเป็นผลงานที่จำเลยทำลงไปแล้วให้จำเลยไม่ได้ เพราะเท่ากับจำเลยไม่ได้คืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม โจทก์จึงจะฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนโรงภาพยนตร์และตึกแถวออกไป ไม่ได้ และจะเรียกค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดิน ไม่ได้ด้วย แต่กรณีดังกล่าวเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาและข้อผูกพันต่าง ๆ ในสัญญาก่อสร้างก็ต้องสิ้นสุดลงไปด้วย จำเลยไม่สิทธิที่จะเช่า หรือครอบครองโรงภาพยนตร์และตึกแถวตามที่กำหนดไว้ในสัญญาก่อสร้างอีก โจทก์ย่อมฟ้องขอให้ห้ามจำเลยและบริวาร เกี่ยวข้องกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ได้
ความรับผิดค่าใช้ทรัพย์ (มาตรา 391 วรรคสาม)
2. หลังจากสัญญาเลิกกันแล้ว หากคู่สัญญายังคงครอบครองทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่กันก็ต้องรับผิดค่าใช้ทรัพย์ ตลอดระยะเวลาที่ครอบครองทรัพย์นั้น โดยต้องใช้เป็นเงินตามควรตามมาตรา 391 วรรคสาม ดูฎีกาที่ 1789/2532 , 3399/2548
ฎีกาที่ 1789/2532 การที่โจทก์ผู้จะขายได้มอบตึกแถวและที่ดินที่จะขายให้แก่จำเลยผู้จะซื้อตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้น เป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขาย และเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาอันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้ใช้ทรัพย์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสาม เมื่อสัญญาเลิกกันจำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้น แม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหาย แต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้
ฎีกาที่ 3399/2548 เมื่อบอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ที่ 1 ต้องคืนห้องชุดให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ต้องคืนค่างวดและเงินดาวน์ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ในห้องชุดมาตลอดเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการงานอันที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์สินนั้น โจทก์ที่ 1 จึงต้องชดใช้เงินตามควรตามมาตรา 391 วรรคสาม
3. กรณีสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโดยปริยาย มิใช่เป็นการเลิกสัญญาเพราะความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อ จะฟ้องผู้เช่าซื้อให้รับผิดค่าขาดราคาตามข้อสัญญา ไม่ได้ แต่ยังคงมีสิทธิฟ้องให้ผู้เช่าซื้อรับผิด ในค่าใช้ทรัพย์ซึ่งเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ ตามมาตรา 391 วรรคสามได้ ดูฎีกาที่ 12448/2557
ฎีกาที่ 12448/2557 สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกันโดยปริยายเมื่อ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อโดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้ง มิใช่เป็นการเลิกสัญญาเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนการยอมให้ใช้ทรัพย์นั้น การชดใช้คืนย่อมทำได้ด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม จำเลยที่ 1 มีเพียงความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นค่าใช้ทรัพย์ หรือค่าขาดประโยชน์ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ครอบครองใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อ โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ส่วนค่าเสียหายอื่นที่เป็นค่าขาดราคารถ ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ก่อนสัญญาเลิกกัน และค่าติดตามยึดรถ โจทก์ไม่อาจเรียกร้องได้
ทนายดวงพร ยินดี (097-298-9887) สืบค้นแล้วมีหลักกฎหมาย ดังนี้
1. คำพิพากษาในคดีเช่าซื้อรถยนต์ การกำหนดค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ควรกำหนด ระยะเวลาที่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดไว้ด้วยเพราะรถยนต์ต้องเสื่อมสภาพไปตามปกติของการใช้ ดูฎีกาที่ 560/2543
ฎีกาที่ 560/2543 จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ภายหลังเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญา ความเสียหายจึงเกิดแก่โจทก์ตลอดเวลา จนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์คืน หรือชดใช้ราคา ศาลจึงต้องกำหนดค่าเสียหาย เป็นค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์ จนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือชดใช้ราคา โดยค่าเสียหายนี้ ควรกำหนดระยะเวลาที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดไว้ด้วย เพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อย่อมเสื่อมสภาพไปตามปกติของการใช้ ทั้งโจทก์เองก็ควรรีบเร่งในการบังคับคดี มิใช่มุ่งบังคับเอาค่าเสียหายแก่จำเลย โดยไม่มีที่สิ้นสุด
2. การฟ้องเรียกค่าใช้ทรัพย์ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความไว้ จึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 ดูฎีกาที่ 2063/2559
ฎีกาที่ 2063/2559 การฟ้องเรียกค่าใช้ทรัพย์ เป็นกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติกำหนดอายุความใช้บังคับโดยตรง จึงต้องนำบทบัญญัติกำหนดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/30 มาใช้บังคับ ซึ่งกำหนดให้มีอายุความ 10 ปี เมื่อนับจากที่สัญญาเช่าซื้อเลิกกันถึงวันฟ้อง ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าใช้ทรัพย์จึงไม่ขาดอายุความ
เรื่องนี้ ค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์สืบเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อ แต่ค่าใช้ทรัพย์หรือค่าขาดประโยชน์ที่สืบเนื่องมาจากการกระทำละเมิด ย่อมมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 ดูฎีกาที่ 1696/2559
ฎีกาที่ 1696/2559 โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ที่ 1 ต้องขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินพิพาท แต่สืบเนื่องมาจากการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ค่าเสียหายส่วนที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 โจทก์ที่ 1 มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1 ปี
ทนายพีระพล กนกเกษมโรจน์ (086-104-4545) สืบค้นแล้วมีหลักกฎหมาย ดังนี้เห็นว่า
การเลิกสัญญาไม่กระทบถึงสิทธิเรียกค่าเสียหาย (มาตรา 391 วรรคท้าย)
เมื่อมีการเลิกสัญญาแล้ว ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้อีกตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคท้าย ซึ่งหมายถึง การเลิกสัญญานั้น ไม่ลบล้างความรับผิดที่ลูกหนี้ได้ก่อขึ้น จากการที่ลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ดูฎีกาที่ 2956 /2548 ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เจ้าหนี้ มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามมาตรา 213 , 215 ก่อนสัญญาเลิกอยู่แล้ว ดูฎีกาที่ 638/2556
ฎีกาที่ 2956/2548 ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสี่ บัญญัติว่า การใช้สิทธิเลิกสัญญาหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ มีความหมายว่า การเลิกสัญญานั้น ไม่ลบล้างความรับผิดที่ลูกหนี้ได้ก่อขึ้นจากการที่ลูกหนี้ผิดนัด ไม่ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหนี้ ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากลูกหนี้ ในกรณีที่การเลิกสัญญานั้นเกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย โดยลูกหนี้มิได้ผิดสัญญา ทั้งค่าเช่าที่โจทก์ยังไม่ได้รับ เป็นหนี้ที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระในเวลาที่มีการบอกเลิกสัญญากัน จึงมิใช่หนี้ค้างชำระ ที่จำเลยต้องรับผิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญา
ข้อสังเกต การใช้สิทธิเลิกสัญญา ย่อมมีผลเป็นการทำลายสัญญาอันเป็นมูลแห่งหนี้เมื่อสัญญาไม่มีอยู่ หนี้ตามสัญญาก็ต้องระงับไป ดังนั้น คู่สัญญาจึงจะฟ้องร้องเพื่อบังคับให้มีการปฏิบัติตามสัญญาอีกไม่ได้ (ฎ. 2568/2521 , 2431/2552) แต่ต้องเข้าใจว่าหนี้ตามสัญญาเท่านั้นที่ระงับไป หากเป็นกรณีที่มีการผิดสัญญาก็จะเกิดความรับผิดจากการไม่ชำระหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ หาได้ระงับไปพร้อมกับหนี้ตามสัญญาด้วยไม่ (ฎ.1123/2514) บทบัญญัติมาตรา 391 วรรคท้าย จึงได้บัญญัติไว้ว่าการใช้สิทธิเลิกสัญญาหาได้กระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่ นอกจากนี้ผลของการเลิกสัญญา ยังไม่กระทบกระทั่งสิทธิในมัดจำและเบี้ยปรับ อีกด้วย (มาตรา 378 (2) , 379)
ฎีกาที่ 638/2556 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสี่ บัญญัติว่า “การใช้สิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายไม่” บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายเพียงว่าการเลิกสัญญานั้นไม่ลบล้างความรับผิดที่ลูกหนี้ได้ก่อขึ้นแล้ว กล่าวคือถ้าลูกหนี้มีความรับผิดที่ตนเองไม่ชำระหนี้แล้วการไม่ชำระหนี้เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 213 , 215 บทบัญญัติมาตรา 391 มิได้ให้สิทธิพิเศษที่จะเรียกค่าเสียหาย ในกรณีที่คู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากัน โดยลูกหนี้มิได้ค้างชำระหนี้ หรือผิดสัญญาด้วย
ฎีกาที่ 16531/2557 จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้ตามข้อสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยการบอกกล่าวล่วงหน้า และจำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าเป็นอันต้องเลิกกัน เพราะการบอกเลิกสัญญาของโจทก์และการใช้สิทธิเลิกสัญญา ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 391 วรรคสี่ เมื่อการเลิกสัญญา เกิดจากการที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ ไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของมูลหนี้ ที่โจทก์มีความประสงค์จะเช่าพื้นที่ตามสัญญา เพื่อประกอบอาชีพของโจทก์และเกิดความเสียหายแก่โจทก์เจ้าหนี้ โจทก์ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 215
วันที่ 16 เมษายน 2563 ขณะที่ PS thaiLaw.com (091-871-3937) เรียบเรียงบทความจากเนื้อหาในหนังสือแพ่งพิสดาร เล่ม 1 ของอาจารย์วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ปรากฏตามภาพข้างล่าง
© 2015 All Rights Reserved